" ชีวิตอันแสนวิเศษ " ตราบใดที่ยังมีลมหายใจจงใช้ชีวิตอันแสนวิเศษให้คุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความหลากหลายทางเพศที่มีอยู่ในตัวตน

         ปัจจุบันสังคมเราค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับความหลากหลายทางเพศ ดังจะสังเกตได้จากสื่อทางทีวีที่มักจะมีคนที่มีความหลากหลายทางเพศมาให้เห็นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรายการทีวีที่มีท่าทางตุ้งติ้ง นักแสดงหรือนักร้องที่เป็นสาวประเภทสอง แม้แต่นักร้องขวัญใจวัยรุ่นที่มีหน้าตาหล่อเหลาจนชายแท้ๆต้องถอยไป คงจะไม่แปลกถ้าเขาเป็นผู้ชายแต่เธอเป็นสาวหล่อ ฯลฯ เมื่อสมัยก่อนตอนผมกำลังเริ่มเป็นวัยรุ่น มีนักร้องบอยแบนด์สุดหล่อที่ผมชื่นชอบมาก ชื่อวง You4 ยูโฟร์ สมาชิกมี 4 คน แต่ละคนเป็นหนุ่มหล่อมาดเท่ห์ หน้าตาดี เก่งทั้งร้องเพลงและเต้นแต่กาลเวลาผ่านไป เมื่อสังคมของความหลากหลายทางเพศเปิดกว้างขึ้น หนึ่งในสมาชิกนักร้องคนหนึ่งของวงได้ประกาศช็อกวงการว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง เขาออกทีวีด้วยภาพลักษณ์ใหม่ จากนักร้องชายมาดเท่ห์เขากับกลายเป็นผู้หญิงซะแล้ว ผมคิดว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่ประกาศตัวว่าไม่ใช่ชายแท้ แต่สำหรับคนอื่นๆเขาอาจจะไม่ประกาศตัว แต่ดูๆแล้วยังคงเป็นคำถามคาใจ หรือ บางทีก็ไม่คาใจ ว่า "คนนี้ใช่หรือเปล่า"
ใครจะคาดคิดว่านักร้องหนุ่มหล่อจะกลายเป็นสาวสวย
 สำหรับผมไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะเพศอะไร ถ้าเขาทำประโยชน์ให้สังคมและเป็นแบบอย่างที่ดี ผมว่ามันก็ไม่เสียหายอะไรที่เขาจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ดีกว่าที่จะมาออกทีวีหลอกผู้ชมว่าตนเองเป็นชายหรือหญิง 100% ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็น
           อาจจะกล่าวได้ว่าในประเทศไทย เราสามารถพบเห็นความหลากหลายทางเพศได้โดยทั่วไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราอยู่แล้ว ตัวอย่างง่ายๆเช่น เพื่อนที่เรียนวิทยาลัยด้วยกัน หรือเพื่อนร่วมงาน มักจะมีคนที่เป็นเกย์ ทอม หรือ สาวประเภทสองอยู่ด้วยเสมอ แต่ในสังคมของบางประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เรื่องนี้สังคมยังไม่เปิดกว้าง แต่ก็มีคนที่มีความหลากหลายทางเพศแฝงอยู่ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกได้ ซึ่งตรงข้ามกับสังคมบ้านเราที่เปิดโอกาสให้แสดงออกได้เต็มที่ เช่น นักศึกษาชายที่เป็นสาวประเภทสองสามารถใส่ชุดนักศึกษาผู้หญิงได้ หรือ บุคคลสาธารณะ อย่างเช่น นักร้อง นักแสดง สามารถแสดงตัวตนที่มีความหลากหลายทางเพศออกสื่อได้ เป็นต้น สิ่งนี้แสดงให้ว่าสังคมไทยมีความตระหนักในการให้สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันและมีความเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมสังคม แต่ในบางตำแหน่งหน้าที่เช่น พระ หรือ เณร การแสดงออกของตัวตนที่มีความหลากหลายทางเพศจนมากจนเกินไป ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ อย่างเช่น เณรเขียนคิ้วแต่งหน้า พระที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เป็นต้น ผมใช้คำว่า "มากจนเกินไป" เพราะผมยอมรับนับถือพระหรือเณรที่อาจจะมีความหลากหลายทางเพศอยู่ในตัว แต่สำรวมและประพฤติตัวดีสมกับที่ได้ห่มผ้าเหลือง กล่าวคือไม่ว่าจะเพศอะไรถ้าประพฤติตัวดีทำประโยชน์ให้สังคมผมก็ไม่เกี่ยงว่าเขาจะอยู่ในเพศไหน แต่บางครั้งการแสดงออกที่มากจนเกินไปก็อาจจะทำให้คนเอื่อมละอาเอาได้ จริงอยู่ว่าการแสดงออกถึงความ

แต่ละชุดแต่ละท่าของพี่แกสร้างความฮือฮาได้ตลอด
หลากหลายทางเพศที่มีอยู่ในตัวไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ถ้ามันมากจนเกินไปผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเอาเสียเลย มันกลับจะยิ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนที่ไม่เข้าใจในสิ่งนี้อยู่แล้วว่า "คนที่มีความหลากหลายทางเพศต้องแสดงออกแบบนี้เสมอ" ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ แต่การจะบอกว่าอะไรคือการแสดงออกที่มากจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่บอกได้ยาก สุดแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ส่วนคนที่มีความหลากหลายทางเพศในตัวควรจะแสดงออกมากน้อยเพียงใด นั้นผมคิดว่าอยู่ที่ตัวบุคคลคนนั้นว่าเขารู้จักคำว่า "พอดีพองาม กาลเทศะ" มากน้อยเพียงใด....

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดินแดนแห่งชาวเย้า

        เมื่อประมาณต้นปีผมได้มีโอกาสไปเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัยในจังหวัดกำแพงเพชร น่าน และ พะเยา พื้นที่ที่จะต้องลงไปเก็บข้อมูลเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าเย้า หรือ ชาวเมี่ยน ( ความจริงชื่อ "เมี่ยน" นี้ เป็นที่ชอบใจของคนในพื้นที่มากกว่าที่จะเรียกว่า "เย้า" ) ผมได้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็ขับรถไปเอง การลงพื้นที่ครั้งนี้ผมไปคนเดียว ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน โดยเริ่มจาก กำแพงเพชร > น่าน > พะเยา จากพะเยาก็วกกลับเข้าบ้านที่เชียงใหม่
    
        ในบทความนี้จะเล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจจากหมู่บ้านชาวเย้าในจังหวัดต่างๆ โดยจะขอเริ่มจาก หมู่บ้านเย้าวังน้ำ อำเภอปางศิลา จังหวัดกำแพงเพชร หมู่บ้านแห่งนี้อพยพมาจากจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เนื่องจากภัยสงครามคอมมิวนิสต์ในสมัยก่อนและปัญหาที่ทำกิน เมื่อประมาณเกือบ 100 ปี มาแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีประมาณ 20 กว่าหลังคาเรือน วิถีชีวิตของคนที่นี่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมาก เช่น การแต่งกาย ได้หันมาใส่เสื้อผ้าที่เหมือนคนพื้นราบทั่วไป สอบถามคนในหมู่บ้านได้ความว่า เนื่องจากอากาศร้อน และการใส่ชุดประจำเผ่ามีความยุ่งยากพอสมควร นอกจากนี้การสร้างที่อยู่อาศัยก็ได้เปลี่ยนจากการสร้างด้วยไม้เป็นหลัก กลายเป็นบ้านที่สร้างจากปูนซีเมนต์เหมือนคนพื้นราบ แต่ยังคงสร้างเป็นบ้านชั้นเดียวเหมือนสมัยก่อน

ชาวเย้าที่นี่ไม่ใส่ชุดประจำเผ่าในวันธรรมดา แต่จะใส่ในพิธีการสำคัญๆ เช่น งานแต่งงาน เท่านั้น
 
บ้านชั้นเดียวเกือบทั้งหมู่บ้าน
แต่ความจริงแล้วบ้านแบบดั้งเดิมจะไม่มี
หน้าต่างแม้แต่บานเดียว
        ชาวเย้าที่นี่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ด้านหลังของหมู่บ้านเป็นไร่มันสำปะหลัง และสวนป่ายูคาลิปตัส พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ภายในหมู่บ้านแทบจะไม่มีคนหนุ่มสาวอยู่เลย จะมีก็แต่ผู้สูงอายุและเด็ก ส่วนใหญ่คนหนุ่มสาวจะออกไปทำงานต่างจังหวัดกันหมด เมื่อว่างจากงานในไร่ ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมานั่งปักผ้าบนเก้าอี้เตี้ยๆที่หน้าบ้านกันเป็นกลุ่ม ปักไปด้วยคุยกันไปด้วย เป็นกิจกรรมยามว่างที่ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเย้าที่ไหนก็ต้องมี ลายที่ปักนั้นจะเป็นลายปักเฉพาะของชาวเย้า ผ้าที่ปักเหล่านี้จะนำไปทำ เสื้อผ้า กระเป๋า เป็นต้น นี่คือวิถีชีวิตหนึ่งที่ยังคงอยู่ของชาวเย้า วันนั้นเป็นวันที่ผมโชคดีมาก เพราะเป็นวันที่ญาติของพวกเขา ซึ่งย้ายไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกากลับมาเยี่ยมบ้าน จึงมีการจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับ ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ที่กลับมาจากเมริกาคนหนึ่ง ชื่อ "เกาแคะ" เขาแก่กว่าผมไปซักสองปีได้ ตอนนี้เขาแต่งงานและมี
ชาวเย้านั่งปักผ้าบนเก้าอี้เตี้ยๆ
 ครอบครัวอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก เป็นกันเองกับผมถึงแม้ผมจะเป็นคนต่างถิ่นต่างเผ่าพันธุ์กับเขา การสนทนาค่อนข้างจะลำบากในบางครั้งเพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดและมีการพูดภาษาอังกฤษด้วยในบางครั้ง แต่ผมก็พอที่จะเข้าใจ เขาบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมบ้าน 2 ปี ต่อครั้ง การกลับมาแต่ละครั้งนั้นต้องมีเงินมาพอสมควร เพราะเขาจะนำเงินมาแบ่งปันให้ญาติพี่น้องด้วย และก็จะพาไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆด้วย ที่ต้องทำแบบนี้เพราะเขาไม่เคยจะลืมความลำบากในอดีต ทุกวันนี้เขาสบายแล้วจึงอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับญาติพี่น้องของเขาบ้าง "คนที่นี่ได้แต่ทำไร่ทำสวน โอกาสที่จะออกไปเที่ยวแทบจะไม่มี" เกาแคะบอกกับผม  จากนั้นเราก็สนทนากันไปเรื่อยๆ และก็เดินเที่ยวในหมู่บ้าน โดยเขาช่วยเป็นไกด์จำเป็นให้กับผม เดินไปเขาก็เล่าเรื่องราวในอดีตของเขาให้ฟัง และก็แนะนำญาติพี่น้องของเขาตามบ้านต่างๆที่เราเดินไปทักทาย แม้กระทั่งคอกหมูหลังบ้านเขาก็พาไปดู ก่อนเข้าจะไปที่คอกหมูเขาถามผมว่า "มันเหม็นมากนะคุณจะเข้าไปดูไหม" ผมบอกว่าผมจะเข้าไปดู จึงได้เห็นหมูที่ไม่เหมือนหมูที่พบเห็นทั่วไป คือมันจะตัวดำๆหน่อย ไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร การเลี้ยงหมูหรือเลี้ยงไก่เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชาวเย้า เพราะต้องใช้หมูกับไก่ในการประกอบพิธีกรรม หรือ งานประเพณีต่างๆ จึงพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่บ้านของชาวเย้า   
หมูสีดำของชาวเย้า
          พอเดินเที่ยวไปอีกซักพักก็ได้เวลางานเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยงเป็นบ้านของเกาแคะเอง พอเดินเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างจัดสรรไว้พร้อมแล้วสำหรับการรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เรียกได้ว่า เหล้ายาปลาปิ้ง พร้อมหมด ขาดแต่เพียงคนกินเท่านั้นเอง การจัดสำรับของชาวเย้านั้น จะวางสำรับบนถาดกลมๆมีขาตั้ง คล้ายๆขันโตกทางภาคเหนือ ทำจากไม้ไผ่ และมีเก้าอี้เตี้ยๆไว้นั่งรับประทานอาหาร อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารคือ ตะเกียบ อาหารในวันนั้นมีหลายอย่าง อย่างเช่น ปลาทับทิมนึ่งมะนาว ลาบหมูแบบคนทางภาคเหนือ หอยแครงนึ่ง หมูย่าง เป็นต้น โดยรวมๆแล้วเหมือนอาหารคนพื้นราบ ไม่มีอะไรโดดเด่น นอกจากเนื้อหมูป่าย่าง ซึ่งผมได้ลองรับประทานเป็นครั้งแรก รสชาติของมันก็เหมือนเนื้อหมูทั่วไป แต่เนื้อจะมีความเหนียวกว่า เครื่องดื่มมีทั้งน้ำอัดลมและเหล้าแบบวิสกี้ เพื่อนร่วมโต๊ะชวนผมดื่มเหล้า ตอนแรกก็ว่าจะจิบชิมพอเป็นพิธี แต่เขาชงกันชนิดที่ว่ากินแก้วเดียวก็เมาตาลายได้เลย เพราะพวกเขาดื่มแบบเพียวๆ ไม่ผสมอะไรเลย ผมก็เลยขอเขาดื่มน้ำอัดลมแทน ถ้าผมดื่มจนเมาสงสัยมีหวังขับ
สำรับอาหารที่เตรียมพร้อมแล้ว
รถกลับไม่ไหวแน่ๆ การนั่งรับประทานอาหารนั้นผู้หญิงจะนั่งกับเด็ก ส่วนผู้ชายจะนั่งแยกอีกต่างหาก อาจจะเป็นเพราะผู้ชายจะดื่มเหล้าสังสรรค์กัน ถ้าผู้หญิงกับเด็กไปนั่งด้วยอาจจะไม่สะดวก บรรยากาศในการรับประทานอาหารนั้นเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีการพูดคุยหยอกล้อกันบ้าง และยังมีการขับบทเพลงภาษาเย้าอีกด้วย ผมฟังไม่เข้าใจจึงถาม เกาแคะ เพื่อนที่คอยดูแลผมในการรับประทานอาหารซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาบอกว่าเป็นการขับบทเพลงเพื่อต้อนรับมิตรสหายที่กลับมาเยี่ยมบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ผมจึงได้ขอให้ เกาแคะ พาผมไปสัมภาษณ์ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เพื่อเก็บข้อมูลการวิจัย ผมรู้สึกว่าหน้าเขาแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่เขาก็ไม่เมามาก จากนั้นจึงพาผมตะลอนๆเดินไปหาคนที่ผมต้องการสัมภาษณ์ ชาวเย้าที่นี่พูดภาษาไทยได้กันเกือบทุกคน บางคนก็พูดสำเนียงออกทางเหนือได้ ทำให้การเก็บข้อมูลของผมเป็นเรื่องง่ายขึ้น
          เสร็จจากการเก็บข้อมูลเวลาก็ล่วงมาถึง 1 ทุ่ม ผมจึงเข้าไปขอบคุณพี่น้องชาวเย้าที่ให้ผมร่วมรับประทานอาหารและให้ข้อมูลแก่ผม มีคนชวนผมค้างที่บ้านด้วย แต่ผมปฏิเสธเขาไปเพราะเกรงใจเขา มีลุงคนนึงบอกผมให้ไปพักที่โรงแรมในตัวอำเภอคลองลานเพราะแกเป็นห่วงผมขับรถไกลในเวลากลางคืน ผมรับปากกับคุณลุงว่าจะไปพักแต่ความจริงผมขับรถกลับพิษณุโลกเลย ระหว่างทางที่ขับกลับบางช่วงมืดมิดมีแต่รถผมวิ่งคันเดียว มันวังเวงและน่ากลัวมาก ยิ่งขับมาคนเดียวไม่ต้องพูดถึง ผมจึงเปิดวิทยุให้ดังๆไว้และทำใจดีสู้เสือขับจนถึงพิษณุโลกเวลา 4 ทุ่ม ทริปการเดินทางผมยังไม่จบแค่นี้เอาไว้ติดตามตอนต่อไปนะครับว่าผมจะไปที่ไหน :)
บรรยากาศการนั่งรับประทานอาหารที่อบอุ่น

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วาไรตี้แมน " ติ๊ก ชีโร่ "

          ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แถวที่บ้านผมถ้ามีการจัดงานรื่นเริงอะไร เขามักจะมีการจ้าง "ดิสโก้" ( โครงเหล็กสูงๆมีไฟกลมๆ ห้อยติดอยู่ข้างบน หมุนไปมาได้ด้วย พร้อมด้วยเครื่องเสียงและลำโพงขนาดยักษ์ ) มาเล่น ตอนนั้นผมเรียนอยู่ประมาณ ป.3 หรือ ป.4 นี่แหละ พอเขาเปิดเพลงคนก็จะมาเต้นกันใต้โครงเหล็กที่มีไฟกลมๆหมุนอยู่ เรียกได้ว่าเต้นกันจน "เท้าดำ" เพราะชาวบ้านใส่รองเท้าแตะเต้นกันอย่างเมามันจนฝุ่นคละคลุ้งมีอยู่บทเพลงหนึ่งถ้าดังขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นอันต้องใส่พลังกันจนสุดชีวิต นั่นก็คือเพลง "ออกมาเต้น" ของ ติ๊ก ชีโร่ ในสมัยนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ " ติ๊ก ชีโร่ " เพราะเพลงของเขานั้นดังมากๆ และดังหลายเพลงด้วย และเขาไม่ได้แค่ร้องเพลงเก่งเท่านั้น การแสดงของเขานั้นก็สุดยอดไม่แพ้กัน ทั้งการเต้น ลีลาการร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ทุกวันนี้เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น ผมก็ยังประทับใจกับบทเพลงและการเล่นคอนเสิร์ตของ
" ติ๊ก ชีโร่" จะมีซักกี่คนที่ทำได้แบบเขา
เขา วันเวลาผ่านไปเขาเกือบจะอำลาวงการบันเทิงไปแล้วจากอาการที่เรียกว่า "หมดไฟในการทำงาน" ซึ่งก็คืออาการที่ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำผลงานออกมา ผมจำได้ว่าเขาเคยร้องเพลงลูกทุ่งอยู่พักนึงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อร้องเพลงลูกทุ่งก็เป็นได้ เขามีชื่อเสียงอีกครั้งหนึ่งเมื่อบทเพลง " รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง " ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง มันเป็นบทเพลงที่เขาแต่งเอง ผมได้ฟังครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของชายคนนี้ เพราะเนื้อหาในเพลงมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวแต่เขาสามารถเอามาผูกโยงกับเรื่องความรักได้ เช่น " น้ำมันยังมีหมด  รถยังมีวันล้าง แต่หากจะให้ล้างใจ  หมดจนลืมเธอไปไม่มีทาง " เป็นต้น เพลงนี้ดังมากๆใครๆก็แทบจะร้องได้ทั้งประเทศ จากจุดนี้เอง " ติ๊ก ชีโร่ " จึงมีไฟขึ้นมาอีกครั้งในฐานะนักร้องขวัญใจวัยรุ่นคนนึงเลยทีเดียว ทั้งๆที่เขาไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว
แต่ใครจะรู้บ้างนอกจากการร้องเพลงแล้ว เขามีความสามารถหลายอย่างมาก เช่น การวาดรูป เขาเคยวาดรูปแล้วมีคนขอซื้อถึงหลักหมื่นมาแล้ว การทำธุระกิจโดนัทของเขาก็ประสบความสำเร็จ หรือ การแสดงของเขาทางโทรทัศน์ก็เป็นที่ชื่นชอบของคนดู เพราะเขาเล่นบทอะไรก็เล่นได้อย่างสนุกสนานตามสไตล์ของเขาและเป็นธรรมชาติด้วย ถึงแม้จะเป็นนักร้องแต่ต้องมาแสดงละครแต่ก็เล่นได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ก็ยังมี ละครเวที แสดงภาพยนตร์ และน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเป็นพิธีกรรายการเด็กทางช่อง 9 ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังออกอากาศอยู่ ผมกล้าพูดได้เลยว่าแต่ละอย่างที่เขาทำล้วนแต่ทำออกมาได้ดีเกือบทั้งหมด เพราะถ้าเขาไม่เก่งจริงคงจะไม่มีใครกล้าจ้างเขาไปทำงานเหล่านั้น เมื่อก่อนผมคิดว่าเขาคงได้แต่ร้องเพลงเล่นคอนเสิร์ตเพราะเป็นอาชีพของเขาตั้งแต่เข้าวงการบันเทิง ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนึงสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่าง และทำได้ดีอีกด้วย ผมอยากรู้จริงๆว่าทำไมเขาถึงสามารถทำได้ ถ้ามีโอกาสซักครั้งหนึ่งจะขอไปสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวเลย "เคล็ดลับอะไรที่ทำให้คุณสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่าง" อยากจะรู้ว่าเขาจะแนะนำผมว่าไง แต่เหนืออื่นใดนั้นผมว่ามันต้องมี "ความพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค" อยู่อย่างแน่นอน แล้วคุณทำอะไรได้อีกบ้างนอกจากอาชีพหรืองานที่คุณกำลังทำอยู่ มาลองค้นหาความสามารถของตัวเองกันดูไหม :)
คนที่ชื่อ "ติ๊ก ชีโร่" แซงหน้าคนที่ชื่อ "ติ๊ก" เหมือนกัน

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โชคดีนะ "นาเดีย"

นาเดีย ยิ้มสวย
        เมื่อคืนก่อนกดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปมาเหมือนเช่นทุกวัน มาหยุดตรงช่อง 3 เพราะผมกำลังสนใจดาราผู้หญิงคนหนึ่ง เธอกำลังให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวความรักของเธอ และอีกไม่นานเธอจะเข้าพิธีแต่งงาน ผู้หญิงที่ชื่อ "นาเดีย" เป็นขวัญใจผมคนนึงเลยทีเดียว ผมมักจะแอบกดรีโมททีวีเปลี่ยนไปดูช่วงเวลาที่เธอกำลังรายงานข่าวบันเทิงอยู่บ่อยๆ สิ่งที่ผมชอบในตัวเธอคือ เวลามองเธอแล้วรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ยิ้มมีเสน่ห์ พูดจาคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ ( แน่นอนหละเขาเป็นพิธีกรนี่ ) คืนนั้นเธอมาออกรายการคนเดียว เท่าที่ฟังจากเนื้อหาเธอบอกว่า คบกับแฟนมาได้ 4 - 5 เดือน ถึงแม้บางอย่างจะชอบไม่เหมือนกันแต่ต่างคนก็ต่างเข้าใจกัน เช่น แฟนเธอติดเกมส์เธอก็จะเล่นด้วยเป็นเพื่อน เธอชอบการกินข้าวนอกบ้านแฟนเธอก็จะพาไปกินบ่อยๆ เป็นต้น ผมก็ได้แต่อวยพรให้เธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตคู่และหวังว่าเธอคงจะแวะเวียนมาออกทีวีให้เห็นหน้ากันบ้างหลังจากแต่งงานไปแล้ว
         คบกันมา 4 - 5 เดือนแล้วแต่งงาน สำหรับผมคิดว่ามันน้อยไป น่าจะลองคบดูซัก 1 ปี บางทีเวลาผ่านไปนานเข้า ตัวตนที่แท้จริงที่แฝงอยู่มันอาจจะแสดงออกมา และนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าจะอยู่ด้วยกันได้ไหม ยังจำกันได้ไหม เมื่อ ชาคริต แย้มนาม ออกมาประกาศแต่งงาน สายฟ้าแลปกับ จั๊กจั่น หลังจากคบกันไม่กี่เดือน พอหลังจากแต่งงานมันก็พังไม่เป็นท่า ทำให้ผมชักจะเป็นห่วง "นาเดีย" ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป เมื่อ นัท มีเรีย กับ เต๋า สมชาย คบกันมา 7 - 8 ปี จัดงานแต่งงานใหญ่โตซะใหญ่โต แต่แล้วก็พังพาบอย่างไม่เป็นท่า แล้วเราควรจะคบกันกี่ปีถึงจะแต่งงาน ? คำถามนี้ผมว่าตอบยากแล้วแต่คนสองคนมากกว่า ถ้าเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันได้จริงมันก็อยู่ด้วยกันได้นาน  ถึงผมจะบอกว่าน่าจะลองคบกันซัก 1 ปีก่อนแล้วค่อยแต่งงาน แต่นี่ก็เป็นแค่ความเห็นจากคนคนเดียว ที่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาบ้าง บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แล้วเพื่อนๆหละคิดว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ดี....

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วลีเด็ด "สวดยอด"กับเอกลักษณ์ประจำตัวที่เปลี่ยนชีวิตคน

       "สวดยอด" ถ้าคนไม่ตามกระแสก็คงจะไม่รู้ว่าคำนี้แปลว่าอะไร แต่สำหรับผมซึ่งเป็นผู้ชื่นชอบการดูตลกตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ พอฟังแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่า มันคือคำว่า "สุดยอด" นั่นเอง แต่เป็นการออกเสียงโดยใช้สำเนียงของคนเชื้อสายจีนที่พูดไทยไม่ชัด มันก็เลยเพี๊ยนเป็น "สวดยอด" คนที่พูดประโยคนี้จนฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นตลกชื่อ "แอนนา ชวนชื่น" เอกลักษณ์ประจำตัวของเขาคือการพูดเหมือนคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ผมจึงได้กลับไปดูคลิปการแสดงเก่าๆของตลกคนนี้ ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ เมื่อก่อนเขาเล่นตลกตามคาเฟ่ต์ อยู่กับคณะจตุรงค์ ม๊กจ๊ก ( ก่อนหน้านั้นเขาก็เล่นตลกอยู่แล้วกับคณะอื่น ) การแสดงของเขาเมื่อสมัยที่เล่นคาเฟ่ต์ ไม่ได้มี
แอนนา ชวนชื่น
ความโดดเด่นอะไรเลย และที่สำคัญเขาไม่ได้พูดเหมือนคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ชัดเหมือนเช่นปัจจุบัน เขาเป็นเพียงตัวประกอบหนึ่งในคณะของ จตุรงค์ ม๊กจ๊ก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าไม่ใช่ผู้แสดงหลักที่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม เป็นเพียงผู้สนับสนุนมุขตลกให้กับคนที่เล่นเก่งๆอย่าง จตุรงค์ ม๊กจ๊ก หรือบางครั้งก็เป็นคนปูมุขตลก ( การพูดหรือการเล่าเรื่องเพื่อจะเข้าสู่มุขตลก ) ชีวิตในตอนนั้นของเขาลุ่มๆดอนๆ มีรายได้หลักจากการเล่นตลกคาเฟ่ต์ พอมาถึงยุคที่คาเฟ่ต์ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน เขาต้องหารายได้โดยการไปเปิดท้ายขายของ และลองขายก๋วยเตี๋ยวไก่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดูเหมือนว่าเส้นทางนักแสดงตลกของเขาคงจะยุติเพียงเท่านี้ แต่แล้ววันนึงก็เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตขึ้นมา เมื่อ จิ้ม ชวนชื่น ชักชวนเขาให้ไปอยู่คณะด้วย และมีโอกาสได้เล่นภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเขาแสดงเป็นคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าเขาจะแสดงอะไร เขาก็จะรับบทเป็นคนจีนที่พูดไทยไม่ชัดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว และมีอยู่วลีหนึ่งที่คนชอบเอามาพูดเลียนแบบก็คือคำว่า "สวดยอด" ซึ่งฮิตติดปากไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากตลกที่เกือบจะยุติเส้นทางการเป็นนักแสดงตลก ปัจจุบันเขามีงานแสดงทั้งภาพยนต์และละครซิทคอมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศในวัยเกือบจะ 60 ปี เรียกว่าดังตอนแก่ได้ก็เพราะเอกลักษณ์ประจำตัว ผมคิดว่าถ้าเขาไม่พูดสำเนียงคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ตอนนี้เขาก็คงจะเป็นแค่ตลกตัวประกอบธรรมดาๆ ที่ไม่มีคนรู้จักมาก จะสังเกตได้ว่าตลกที่มีชื่อเสียงดังๆส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์ประจำตัวที่คนสามารถจดจำได้ เช่น ถ้าเล่นตลกเป็นกะเทยก็ต้องนึกถึง จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ถ้าเล่นตลกเกี่ยวกับกลอน ลำตัด การแสดงพื้นบ้านก็ต้องนึกถึง โย่ง เชิญยิ้ม ถ้าเล่นตลกแบบเล่าเรื่องและใช้ไหวพริบก็ต้องนึกถึง โน็ต เชิญยิ้ม หรือ โน้ส อุดม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีตลกอีกประเภทหนึ่งที่ใช้ปมด้อยของตัวเองเป็นจุดขาย เช่น อ่าง เถิดเทิง ( เป็นโปลิโอแต่กำเนิด ) น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ( หลังค่อมเพราะตกบันได ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ) ปุ๊กกี้ ( ตัวเตี้ย ฟันเหยิน ) เป็นต้น ถึงแม้จะมีปมด้อยทางด้านร่างกายแต่พวกเขากลับใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ ด้วยการสร้างปมด้อยให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองจนมีคนรู้จักไปทั้งประเทศ
อ่าง เถิดเทิง
        ถ้าลองนึกถึงเพื่อนในสมัยเรียนประถมหรือมัธยม ผมจะจำได้เพียงไม่กี่คนจากเพื่อนร่วมชั้นทั้งห้อง และเพื่อนๆที่ผมจำได้ส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์ประจำตัว อย่างเช่น สมัยประถมผมมีเพื่อนอยู่คนนึง ชื่อจริงว่า ชัยพฤกษ์ ส่วนชื่อเล่นผมจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าบอกว่า "ไอ้ยี่"
เพื่อนร่วมชั้นจะรู้เลยว่าเป็นใคร "ไอ้ยี่" เป็นฉายาที่เพื่อนๆตั้งให้ ชัยพฤกษ์ คำว่า "ยี่" ภาษาเหนือแปลว่า ฟันเหยิน ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้ผมนึกหน้าของ "ไอ้ยี่" ออกทันที แม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปีได้ และมีเพื่อนอีกคนนึงเขามีรูปร่างผอม รูปหน้าเรียวยาว ผิวขาวซีด ผมได้ตั้งฉายาให้เขาว่า "ไอ้จั๊กกิ้ม" คำว่า "จั๊กกิ้ม" ในภาษาเหนือแปลว่า จิ้งจก ถ้าพูดว่า "ไอ้จั๊กกิ้ม" มันก็จะวิ่งไล่มาเตะก้นผม เพราะความที่ไม่อยากเป็นจิ้งจก เพื่อนร่วมชั้นและเด็กห้องเรียนอื่นๆได้ยินผมเรียกเช่นนั้นจนเป็นที่จดจำกันทั้งโรงเรียน ผมเชื่อว่าถ้ามีงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนสมัยประถม เมื่อเอ่ยถึงฉายาของเพื่อนร่วมชั้น ทุกคนน่าจะจดจำได้ดีว่าเขามีลักษณะเช่นไรในอดีต แต่เพื่อนคนที่ไม่มีเอกลักษณ์ประจำตัวอะไรโดดเด่น อาจจะนึกไม่ออกต้องไต่ถามกันถึงจะค่อยๆจำได้ จะเห็นได้ว่าการมีเอกลักษณ์ประจำตัวจะทำให้เป็นที่จดจำแก่คนได้ง่ายและยังทำให้เป็นที่จดจำไปได้นานอีกด้วย บุคคลสาธารณะ เช่น นักแสดง นักการเมือง นักร้อง ที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวก็จะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

"ลองสังเกตเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนร่วมชั้นของท่านดู ใครที่ท่านคิดว่ามีเอกลักษณ์ประจำตัว หรือ ลองนึกถึงเพื่อนสมัยเรียนท่านจำใครได้บ้าง แล้วเขามีลักษณะยังไง"

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทำไมต้อง Planking แพ้งค์กิ้ง ?

รุ่นน้องของผมคนหนึ่ง Planking แพ้งค์กิ้ง บนปีกเครื่องบิน
         วันนี้ถ้าคุณได้ลองเช็คข่าวคราวบนสังคมออนไลน์ คุณอาจจะเห็นเพื่อนคุณถ่ายรูป Planking มาอวดเพื่อนๆในเฟสบุค ท่านอนคว่ำหน้าเหยียดตัวตรงผมว่ามันไม่แปลกพิสดารเท่าไหร่ แต่มันจะพิดสดารตรงที่สถานที่ที่ไปนอนคว่ำหน้า เช่น บางคนไปนอนเหยียดบนหลังคารถ บนหลังอานมอเตอร์ไซด์ บนโต๊ะอาหาร พื้นถนน หรือ แม้แต่บนปีกเครื่องบิน ( เครื่องบินที่จอดอยู่ ) มีเพื่อนๆผมอยู่กลุ่มหนึ่งให้ ลูก หลาน ทำ แต่เขาทำในที่ไม่อันตรายเช่น บนที่นอน เด็กมันคงจะงงว่าให้ทำทำไม ถ้าดูข่าวบนเวบก็จะเริ่มมีคนดังทำเลียนแบบบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ที่ชอบเกรียน ( พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ชอบทำอะไรแปลกๆ ) ท่านหนึ่ง หรือแม้แต่นักพูดจมูกโตชื่อดัง ก็ไปนอนเหยียดบนฉากของรายการผู้หญิงรายการหนึ่งออกทีวี ( เขาบอกว่าเป็น Planking ชั้นสูง ) ต่อไปอาจจะมีคนทำแบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
       การทำ Planking เป็นสิทธิส่วนบุคคล หากไม่ได้ไปรบกวนคนอื่น เช่น ไปนอนขวางถนน ขวางทางเดินผู้คน ( แม้จะแค่ไม่กี่วินาที แต่ก็คงจะมีคนบ่นในใจบ้างแหละว่า มาทำอะไรตรงนี้ ) หรือ ไปทำในที่ที่เสี่ยงอันตราย (ตายขึ้นมาเดือดร้อนกันไปหมด) ผมว่าสุดแล้วแต่รสนิยมความชอบของแต่ละคน แต่ที่ผมประหลาดใจคือมันมีคนทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลามไปถึงคนมีชื่อเสียงก็เอากับเขาด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงบทความเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เรื่องมันมีอยู่ว่า ที่เมืองแห่งหนึ่งมีต้นวอลนัทอยู่เยอะ อีกาจึงชอบมากินลูกวอลนัทประจำ แต่การกินลูกวอลนัทไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเปลือกของลูกวอลนัทแข็งต้องกระเทาะออกก่อนถึงจะกินข้างในได้ อาจจะเป็นเพราะความบังเอิญเมื่ออีกาคาบลูกวอลนัทและบินขึ้นฟ้า ระหว่างอยู่กลางอากาศลูกวอลนัทก็ได้หล่นลงพื้นจนแตก จากนั้นมามันก็คาบลูกวอลนัทขึ้นไปบนฟ้าแล้วปล่อยลงให้ตกลงพื้น เมื่ออีกาตัวอื่นมาเห็นก็ได้ลอกเลียนแบบพฤติกรรมนั้นต่อไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ยังไม่จบเท่านี้เมื่อลูกวอลนัทที่ตกอยู่บนถนนถูกรถที่วิ่งไปมาทับจนแตก อีกามาเห็นเข้าจึงรู้วิธีกินลูกวอลนัทอีกแบบ โดยมันจะคาบลูกวอลนัทไปวางไว้บนถนน ที่ที่มันคาดว่ารถจะต้องวิ่งมาทับ พฤติกรรมนี้ก็ได้ถูกลอกเลียนแบบจากอีกาตัวอื่นๆเช่นกัน จนทำให้เป็นที่เดือดร้อนของผู้ที่สัญจรผ่านไปมาบริเวณนั้น เพราะรถต้องคอยหยุดและเบรกให้อีกาที่มาวุ่นวายบนท้องถนน จะเห็นได้ว่าจากพฤติกรรมอีกาตัวเดียวก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นพฤติกรรมของอีกาหลายๆตัว แสดงว่าสัตว์ก็มีพฤติกรรมเลียนแบบและถ่ายทอดกันไปเป็นทอดๆเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่พวกมันทำไปเพื่อการดำรงชีวิต แล้วมนุษย์เราทำ Planking ไปเพื่ออะไร อันนี้ต้องลองคิดดูเอาเอง...

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากเมืองฮานอย เวียตนาม

      เมื่อสองปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเวียตนาม ไปกับคณะทัวร์ของบริษัทแห่งหนึ่งจำชื่อไม่ได้อยู่แถวกรุงเทพฯ ใช้เวลาการท่องเที่ยวทั้งหมด 5 วัน ไปช่วงปลายเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์ มีอยู่สองเมืองคือ ฮานอย และ อ่าวฮาลองเลย์ 
ตึกแถวที่เวียตนามที่ดูแปลกๆ
        เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินอะไรจำไม่ได้แต่รู้ว่าเป็นสายการบินแอร์ฟรานซ์ของฝรั่งเศส แน่นอนครับแอร์โฮสเตสและสจ็วตเป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ผมก็นึกในใจว่าตกลงจะไปเที่ยวเวียตนามหรือฝรั่งเศส ตอนแรกเราก็นึกว่าจะได้นั่งสายการบินของไทยหรือไม่ก็เวียตนามแต่ผิดคาด อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าครั้งหนึ่งมีฝรั่งเป็นข้ารับใช้คอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ 555 การเดินทางใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินที่เวียตนาม ชื่อสนามบินอะไรจำไม่ได้ (ไปเที่ยวสองปีมาแล้วเพิ่งมาเขียน ) เรานั่งรถบัสออกจากสนามบินสิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ มันเต็มไปด้วยทุ่งนาสีเขียวไปหมดทั้งๆเป็นเขตตัวเมือง บางทีก็เห็นควายกับชาวนาอยู่กลางทุ่งนา แต่พอรถแล่นมาได้ซักพักก็ได้เห็นตึกราบ้านช่อง แต่เป็นตึกที่แปลกๆครับ เพราะเขาจะไม่สร้างตึกให้ผนังชนกัน เช่นถ้าสร้างตึกสองล็อกก็ต้องเว้นช่องไว้ เพื่อไม่ให้ใช้ผนังห้องร่วมกัน ถามไกด์เขาบอกว่ามันเป็นกฏหมายของบ้านเขา การจราจรที่นี่วุ่นวายมากๆ รถมอเตอร์ไซด์ขี่ปาดหน้ากันไปมา และบีบแตรกันสนั่นเมือง เสียงแตรจึงเป็นเสียงปรกติของท้องถนนที่นี่ ไกด์บอกว่าสัญญาณไฟเขียว ไฟแดง ไฟเหลือง มีค่าเท่ากัน พูดง่ายๆคือเอาตั้งไว้เฉยๆเพราะคนก็ขี่รถฝ่าสัญญาณไฟไปๆมาๆอยู่แล้ว คนที่ขี่มอเตอรไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อก ถ้าไม่ใส่ก็จะถูกปรับประมาณ 300 - 400 บาท แต่มันตลกตรงที่ว่า ถ้าใครสวมหมวกกันน็อกแล้วไม่คาดสายรัดที่ีคางจะถูกปรับแพงกว่า การไม่ใส่หมวกกันน็อก เพราะถือว่าจงใจประมาท เขาถือว่าผู้ที่ไม่ใส่หมวกกันน็อกบางคนอาจจะทำหายไม่มีเจตนาประมาท อันนี้ก็เป็นวิธีคิดอย่างหนึ่งของคนเวียตนาม สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ คนที่นี่แทบไม่มีคนอ้วนตุ๊ต๊ะเลย ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ต่างก็มีรูปร่างสมส่วน ถึงแม้บางคนจะมีอายุมากแต่ก็ยังหุ่นดี ไกด์บอกว่าเป็นเพราะคนที่นี่ทานพวกผักหรืออาหารที่แคเลอรี่ต่ำเยอะ ถ้ามีคนอ้วนตุ๊ต๊ะมาเยือนคนเวียตนามจะสนใจเป็นพิเศษ แบบว่าไปไหนก็ต้องมีคนมองและหัวเราะหรือขนาดมาขอจับเลยก็ว่าได้  เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้เห็นคนอ้วน ใครอยากหุ่นดีต้องลองไปอยู่เวียตนาม
แม่ค้าขายสับปะรดหุ่นดี
           วันแรกของการท่องเที่ยวผมได้มีโอกาสไปชม หุ่นกระบอกน้ำ ที่เขาว่าใครไปเวียตนามก็ต้องไปดู แต่ผมว่าไม่สนุกเท่าไหร่ ดูไปง่วงไป เพราะมันเป็นการขับร้องเพลงประกอบการเชิดหุ่นที่อยู่บนน้ำ ซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องมันเป็นภาษาเวียตนาม แต่เอาเป็นว่าได้คุยโม้ให้เพื่อนฟังได้ว่าครั้งหนึ่งได้เคยดู หุ่นกระบอกน้ำเวียตนาม พอหันไปข้างหลังปรากฏว่าไม่ใช่มีผมคนเดียวที่หลับ 555 พอตกเย็นไกด์ได้พาไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามาเวียตนามก็ต้องกินอาหารเวียตนาม กุ้งพันอ้อย เฝอ ( รูปร่างหน้าตาคล้ายๆขนมจีนบ้านเราแต่ไม่เผ็ด ) และก็อาหารจำพวกปลา และก็อะไรอีกจำไม่ได้ แต่จำได้คือทุกอย่างอร่อยใช้ได้ พอกินข้าวเสร็จก็กลับที่พัก คณะทัวร์ของผมพักที่
หุ่นกระบอกน้ำ
โรงแรมแห่งหนึ่ง จัดว่าเป็นโรงแรมระดับดีทีเดียว มีบ่อนคาสิโนเล็กๆอยู่ด้วย ห้องพักของมีสองเตียง ผมพักกับพี่อีกคนนึงแกมาจากชัยนาท อายุห่างกันนิดเดียว แต่แกเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว และนี่แหละคือคู่หูในทริปนี้ ระหว่างที่นอนอยู่จะได้ยินเสียงแตรรถจากถนนหน้าโรงแรมทั้งคืน พอตื่นเช้ามาวันนี้มีโปรแกรมไปเที่ยวสุสานของท่านประธานโฮจิมินห์และสถานที่ท่องเที่ยวจำพวกโบราณสถานในตัวเมืองฮานอย ผมจะขอเล่าแต่สถานที่ที่ผมสนใจนั่นก็คือ สุสานของท่านประธานโฮจิมินห์ การจะเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพราะต้องต่อแถวยาว และระหว่างที่ต่อแถวฝนก็ดันตกลงมา เปียกชุ่มกันไปถ้วนหน้า พอเข้าไปด้านในจะมีทหารยืนเฝ้าตลอดระยะทางของทางเข้าไปยังที่เก็บศพของท่านประธานโฮจิมินห์ ในที่นี้ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกวีดีโอเด็ดขาด ผมจึงไม่มีรูปจากด้านในมาให้ดูกัน บริเวณที่เก็บศพจะเป็นกระจกสี่เหลี่ยมครอบร่างของท่านประธานซึ่งนอนเหมือนท่านกำลังหลับอยู่ และมีทหารยืนถือปืนเฝ้าอยู่ทั้งสี่มุม และระหว่างการเยี่ยมชมห้ามคุยกันหรือส่งเสียงดัง ผู้ชายร่างเล็กที่มีหนวดเครายาวๆท่านนี้ มีความสำคัญกับชาวเวียตนามมาก เพราะเป็นคนที่กอบกู้ประเทศเวียตนามสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ถ้าถามคนไทยว่าบุคคลสูงสุดที่ท่านรักและเคารพมากที่สุดนอกจากบุคคลในครอบครัวเป็นใคร ทุกๆคนก็จะตอบว่า ในหลวงของเรา แต่ถ้าไปถามคนเวียตนาม คำตอบที่จะได้ก็คือ ท่านประธานโฮจิมินห์ นั่นเอง ต่อจากนั้นไกด์ได้พาไปโบราณสถานแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นเหมือนวัดจีนเก่าๆ เขาบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกมีอายุกว่า 1000 ปี เพราะสถานที่
บริเวณด้านนอกของสุสาน
แห่งนี้เป็นที่สอบเข้าเป็นจอหงวน (ข้าราชการจีนในสมัยก่อน) คนที่สอบได้จะต้องเก่งจริงๆ และจะได้รับการสลักชื่อบนแท่นหิน พอเสร็จจากที่นี่พวกเราได้ไปเที่ยววัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาปคืนดาบ ความจริงมันมีตำนานเล่าอยู่แต่ผมจำไม่ได้ จำได้แต่ว่ามันเกี่ยวกับเต่ายักษ์ เราต้องข้ามสะพานไป พอไปถึงมีคนจำนวนมากกำลังกราบไหว้บูชาบางอย่างอยู่ สิ่งนั้นก็คือซากเต่ายักษ์ที่ตายแล้ว ตัวใหญ่มาก ความกว้างประมาณ 1.50 เมตร ยาวประมาณ 2.50 เมตรได้ ถ้าเป็นบ้านเราคงจะมีคนเอาแป้งทาแล้วขูดๆเพื่อหาตัวเลข ผมก็ได้ไปไหว้และขอพรจากท่านเต่ายักษ์ ไม่รู้ว่าท่านจะรู้หรือเปล่าว่าผมขออะไร เพราะผมพูดภาษาเวียตนามไม่เป็น :) ต่อจากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อไปสถานที่ช็อปปิ้งของเมืองฮานอย ระหว่างที่นั่งบนรถก็นั่งดูผู้คนบนท้องถนนไป บางทีผมก็อดขำปนด้วยความหวาดเสียวไม่ได้ เพราะคนที่นี่ขี่จักรยานกันแบบไม่กลัวตายเลย ถ้าเป็นบ้านเราจักยานต้องชิดซ้ายเพื่อความปลอดภัย แต่ที่นี่ขี่มันกลางถนนเลย รถที่วิ่งเร็วกว่าก็แซงไปแซงมา ปาดไปปาดมา แต่เขาจะบีบแตรให้สัญญาณกันตลอด ถ้าเกิดอุบติเหตุขึ้นมา
ผมและผู้ใหญ่บ้านคู่หู
บนสะพานที่ข้ามไปดูเต่ายักษ์
ไกด์บอกว่าก็จะมีการโต้เถียงและชกต่อยกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้จะชกต่อยกันจนตาเขียว แต่เขาก็จะไม่เก็บเอามาเป็นความแค้น คือจบกันตรงนั้น ถ้าเจอกันอีกก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นบ้านเราก็คงยิงกันกลางถนน หรือเอาพวกตามไปแก้แค้น แต่ถ้าเกิดขับรถไปชนคนตายต้องรีบหนีออกไปอยู่ไกลๆก่อน เพราะญาติผู้ตายจะตามมาล้างแค้นถึงขั้นเอาชีวิต อันนี้น่ากลัวกว่าบ้านเรา เอาละถึงที่ช็อปปิ้งซักที ลักษณะของสถานที่คล้ายๆตลาดนัดจตุจักร คือมีร้านค้าเป็นล็อกๆ สินค้าที่นี่มีทุกอย่าง เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ของที่ระลึก เป็นต้น ผมเข้าไปดูรองเท้าที่ร้านหนึ่ง สินค้าร้านนี้เป็นสินค้าแบรนด์ดังๆทั้งนั้น เช่น ไนกี้ พูม่า รีบอก อะดิดาส แต่ราคานั้นถูกแสนถูก คู่หนึ่งประมาณ 300 - 500 บาท สาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีโรงงานของแบรนด์เหล่านี้ตั้งอยู่ในประเทศ หรือไม่ก็อาจจะเป็นของก็อบมาจากจีน แต่เท่าที่ดูการตัดเย็บ วัสดุที่นำมาผลิต ก็พอใช้ได้ การซื้อของที่นี่เราสามารถต่อได้แบบว่าแล้วแต่คารมเลย เช่น ของบางอย่างราคา 1000 บาท บางท่านอาจจะต่อเหลือ 500 บาท แต่บางท่านคุยกับคนขายอย่างถูกคอก็อาจจะเหลือแค่ 300 บาท หรือไม่ก็เดินออกจากร้าน เดี๋ยวเขาก็จะเรียกตามหลังเอง ว่าจะให้เท่าไหร่ :) ผมลืมบอกไป โดยส่วนใหญ่คนขายของที่นี่สามารถพูดไทยได้ดี อาจจะเป็นเพราะทัวร์ไทยมาลงบ่อยเลยพูดจนชิน เงินที่ใช้ก็ไม่ต้องไปแลกให้เสียเวลาใช้เงินไทยซื้อได้เลย ผมซื้อของฝากมาค่อนข้างเยอะเพราะมันถูกและได้หลายชิ้น เช่น หมวกแก็ปมีรูปดาวธงชาติเวียตนาม 5 ใบ 100 บาท ที่ใส่นามบัตรทำจากไม้แกะสลัก อันละ 20 บาท ซื้อเยอะก็เหลืออันละ 15 บาท เป็นต้น แต่ละท่านในคณะทัวร์ก็เลยหอบของฝากกันพะรุงพะรัง มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ในระหว่างที่ผมเดินช็อปปิ้ง จะมีพวกแม่ค้าหาบเร่หาบของกินมาขาย มีอยู่เจ้าหนึ่งเขาขายแห้วสด ทีนี้เขาจะปลอกเปลือกแล้วใส่ถุงคอยตื๊อให้ลูกค้าชิมเพื่อซื้อ ผมและพี่ผู้ใหญ่เลยจัดให้ จกมาชิมคนละลูกเสร็จแล้วเดินไปเลย แม่ค้าด่าเป็นภาษาเวียตนามตามหลัง ก็ผมไม่รู้นี่ว่าชิมแล้วต้องซื้อ นึกว่าชิมก่อนไม่ซื้อก็ไม่เปนไรเหมือนบ้านเรา :) ผมกับพี่ผู้ใหญ่มองหน้ากันแล้วต่างคนต่างหัวเราะ แกก็บอกว่า อ่าวก็นึกว่าเอ็งจะซื้อ ข้าก็เลยชิม ผมก็บอกว่า ผมก็นึกว่าพี่จะซื้อ...
        ผมขอจบเรื่องเล่าที่ฮานอยไว้เท่านี้ก่อน เพราะเล่าเท่าที่จำได้เอาไว้นึกอะไรออกจะมาเล่าให้ฟังอีก บทความต่อไปจะเป็นสถานที่ใดเอาไว้คอยติดตามกันนะครับ
แม่ค้าขายผัก วิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไป

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชำแหละไก่เน่าขาย จิตสำนึกที่ย่ำแย่ของคน

ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของโปรดผม
      เช้าวันนี้ผมกินข้าวเช้าด้วยเมนูสุดโปรด "ข้าวไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์" กินไปได้ครึ่งจาน ดันไปนึกถึงข่าวที่มีการชำแหละไก่เน่าขายที่ นครราชสีมา อารมณ์ตอนนั้นบอกได้เลยว่า "กินไม่ลง" ที่เหลืออีกครึ่งจานผมไม่กินต่อ เพราะในใจมันนึกถึงแต่เนื้อไก่เน่าๆเหม็นๆ แทบจะอาเจียน วันนี้ได้อ่านข่าวบนเวบเขาบอกว่าอาจจะไม่ใช่แค่เนื้อไก่ แต่อาจจะมีเนื้อสัตว์อย่่างอื่นด้วย เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว
      ผมได้มาลองคิดดูว่าทำไมคนขายถึงไม่คิดบ้างว่า ถ้าผู้บริโภครับประทานไปแล้วเกิดว่าติดเชื้อโรคขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ พ่อค้าคนกลางที่รับไปขายต่อ (อันนี้ผมไม่ทราบว่าเขารู้หรือเปล่าว่าเป็นเนื้อไก่เน่า ถ้ารู้แต่ยังเอาไปขายก็แสดงว่าขาดจิตสำนึกเช่นเดียวกับคนที่ชำแหละขาย)ก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย พูดง่ายๆคือ คนอื่นจะเดือดร้อนกันยังไง ข้าไม่สนใจขอแค่มีกำไรงามๆเป็นใช้ได้ (ในข่าวบอกรับซื้อไก่เน่ามาจากฟาร์มไก่ ตัวละ 3 บาท) มันเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ''ทำไมคนไทยถึงขาดจิตสำนึกได้ถึงขนาดนี้" นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เกิดจากการขาดจิตสำนึกของคน แต่ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เป็นข่าวคราวให้ได้พบเห็นตามสื่อต่างๆ อีกมากมาย เรื่องที่ผมติดใจเป็นที่สุดคือ ข่าวที่ว่ามีการซื้อขายใบประกอบวิชาชีพครูที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน (เพื่อนๆคงจะรู้กันแล้วว่ามหาวิทยาลัยอะไร)ที่ผมเศร้าใจที่สุดเพราะว่า ขนาดคนที่มีการศึกษาระดับดอกเตอร์ เป็นผู้บริหารระดับสูงในสถาบันการศึกษา ยังขาดจิตสำนึกได้ถึงขนาดนี้ และคนที่เป็นผู้ซื้อใบประกอบวิชาชีพปลอมก็ขาดจิตสำนึกเช่นกัน คิดแต่อยากจะได้เงินเดือนเยอะขึ้นแต่ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง คนเหล่านี้ไม่มีจิตสำนึกเลยว่า ตนเองต้องเป็นแม่พิมพ์ของชาติต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชนหรือลูกศิษย์ แล้วอย่างนี้จะไปสั่งสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร เมื่อตนเองก็ทำสิ่งไม่ดีซะเอง
      ทำไมคนไทยเราถึงเป็นได้ขนาดนี้ เพราะความเห็นแก่ตัว ความโลภ ใช่ไหม ผมว่าใช่เลยแหละ และสองสิ่งนี้เองทำให้คนไทยเกิดภาวะที่เรียกว่า "ขาดจิตสำนึก" ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมานานมากแล้ว แต่ปัจจุบันผมคิดว่ามันกำลังเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า "ขาดจิตสำนึกขั้นรุนแรง"ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าการขาดจิตสำนึกธรรมดา กล่าวคือ ถึงแม้จะมีคนตายเพราะกินเนื้อไก่เน่า หรือ ถึงแม้เด็กนักเรียนซึ่งเป็นอนาคตของชาติจะได้ครูไม่มีคุณภาพสอน ข้าก็ไม่สนใจขอแค่ได้  "เงิน เงิน เงิน" เป็นใช้ได้  แล้วประเทศของเราจะเป็นอย่างไรเมื่อมีแต่คนที่ "ขาดจิตสำนึกขั้นรุนแรง" ก็ลองคิดดูเอาเองนะครับ

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

遠く遠く โทโอะคุ โทโอะคุ By Exile


(1)遠く遠く離れていても  โทโอคุ โทโอคุ ฮะนะเรเทะอิเทะโมะ
僕のことがわかるように  โบคุโนะ โคโตะก๊ะ วะคะรุโย่วนิ
力いっぱい輝ける日を จิคาระ อิพไป คะกะยะเครุฮิโวะ
この街で迎えたい โคโนะ มาจิเดะ มุคาเอไตอิ

ถึงแม้เราจะห่างกันไกลแสนไกล
แต่ฉันอยากจะรับเอาวันที่มีความสุขเปี่ยมล้น
ไว้ ณ ที่ถนนเส้นนี้เพื่อให้เธอรับรู้เรื่องราวของฉัน

外苑の桜は咲き乱れ ไกเอนโนะซากุระ วะซะคิมิดะเร
この頃になるといつでも  โคโนะโคโระนินารุโตะ อิทสึเดะโมะ
新幹線のホームに舞った  ชินคังเซนโนะ โฮมมุนิมัทตะ
見えない花吹雪思い出す มิเอไน่ฮะนะฟุบุคิโอะโม่ยดะสุ

ดอกซากุระที่สวนสาธารณะไกเองบานสะพรั่ง
พอถึงช่วงนี้ทีไรก็ปลิวว่อนลงบนชานชะลาสถานีรถไฟชินคันเซง
ทำให้นึกถึงพายุหิมะของดอกไม้ที่ปลิวว่อนจนมองไม่เห็นทาง

まるで七五三の時のよに  มารุเดะ ชิชิโกะ ซังโนะ โทคิ โนะโยะนิ
ぎこちないスーツ姿も  กิโคะจิไนอิซู้ทสึ ซุกะตะโมะ
今ではわりと似合んだ  อิมะเดวะ วะริโตะ นิอะอุนดะ
ネクタイも上手く選べる  เนคุไทโมะ อุมาคุเอระเบรุ

มันช่างเหมือนกับช่วงงานฉลองเทศกาลชิชิโกะซัง
ตอนนั้นที่ฉันใส่สูทด้วยท่าทางที่เก้งก้าง
แต่ตอนนี้มันเข้ากับฉันได้ดีแล้วนะ
และฉันก็จะเลือกเนคไทให้เก่ง

(2)同窓会の案内状 โดวโซวไค โนะอันไนโจว
欠席に丸をつけた เคทเซคินิ มารุโวะสึเคตะ (รอบที่สองขึ้น (3))
「元気かどうかしんぱいです。」と  เกงคิคะ โด้วคะชินไปเดส โทะ
手紙をくれるみんなに  เทกะมิ โวะคุเรรุ มินนะซุงนิ

(1)(2)(3)

เขียนวงกลมไว้บนการ์ดเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่นว่าไม่ได้ไปร่วมงาน
ถึงเพื่อนๆที่ส่งจดหมายมาให้ฉัน
ทุกๆคนจะสบายดีไหมฉันยังห่วงใยนะ


(3)だれよりも今はみんなの顔  ดะเระโยะริโมะ อิมะวะมินนะโนะคาโอะ
見たい気持ちでいるけど  มิไต่คิโมจิเดะ อิรุเคโดะ

(1)
ตอนนี้ฉันอยู่ด้วยความรู้สึกที่อยากจะเห็นหน้าทุกๆคนมากกว่าใครๆ

僕の夢をかなえる場所は  โบคุโนะ ยูเมะโวะ คะนะเอรุ บะโชวะ
この街と決めたから โคโนะมาจิโทะ คิเมตะคะระ

แต่ที่ที่จะทำให้ความฝันของฉันเป็นจริงคือถนนเส้นนี้

七五三 ชิชิโกะซัง คือ เทศกาลประจำปีหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เป็นการฉลองอายุครบ 3 ขวบ 5 ขวบ และ 7 ขวบ

ยินดีต้อนรับสู่บล็อกส่วนตัวของผม


พื้นที่ส่วนตัวแห่งนี้มีนานาสาระและความบันเทิงต่างๆที่ผมได้หามาจากที่ต่างๆและสร้างเองให้เพื่อนๆได้รับชมและรับฟัง ติชมได้ครับ