" ชีวิตอันแสนวิเศษ " ตราบใดที่ยังมีลมหายใจจงใช้ชีวิตอันแสนวิเศษให้คุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากเมืองฮานอย เวียตนาม

      เมื่อสองปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเวียตนาม ไปกับคณะทัวร์ของบริษัทแห่งหนึ่งจำชื่อไม่ได้อยู่แถวกรุงเทพฯ ใช้เวลาการท่องเที่ยวทั้งหมด 5 วัน ไปช่วงปลายเดือนเมษายน สถานที่ท่องเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์ มีอยู่สองเมืองคือ ฮานอย และ อ่าวฮาลองเลย์ 
ตึกแถวที่เวียตนามที่ดูแปลกๆ
        เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินอะไรจำไม่ได้แต่รู้ว่าเป็นสายการบินแอร์ฟรานซ์ของฝรั่งเศส แน่นอนครับแอร์โฮสเตสและสจ็วตเป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ผมก็นึกในใจว่าตกลงจะไปเที่ยวเวียตนามหรือฝรั่งเศส ตอนแรกเราก็นึกว่าจะได้นั่งสายการบินของไทยหรือไม่ก็เวียตนามแต่ผิดคาด อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าครั้งหนึ่งมีฝรั่งเป็นข้ารับใช้คอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ 555 การเดินทางใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินที่เวียตนาม ชื่อสนามบินอะไรจำไม่ได้ (ไปเที่ยวสองปีมาแล้วเพิ่งมาเขียน ) เรานั่งรถบัสออกจากสนามบินสิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ มันเต็มไปด้วยทุ่งนาสีเขียวไปหมดทั้งๆเป็นเขตตัวเมือง บางทีก็เห็นควายกับชาวนาอยู่กลางทุ่งนา แต่พอรถแล่นมาได้ซักพักก็ได้เห็นตึกราบ้านช่อง แต่เป็นตึกที่แปลกๆครับ เพราะเขาจะไม่สร้างตึกให้ผนังชนกัน เช่นถ้าสร้างตึกสองล็อกก็ต้องเว้นช่องไว้ เพื่อไม่ให้ใช้ผนังห้องร่วมกัน ถามไกด์เขาบอกว่ามันเป็นกฏหมายของบ้านเขา การจราจรที่นี่วุ่นวายมากๆ รถมอเตอร์ไซด์ขี่ปาดหน้ากันไปมา และบีบแตรกันสนั่นเมือง เสียงแตรจึงเป็นเสียงปรกติของท้องถนนที่นี่ ไกด์บอกว่าสัญญาณไฟเขียว ไฟแดง ไฟเหลือง มีค่าเท่ากัน พูดง่ายๆคือเอาตั้งไว้เฉยๆเพราะคนก็ขี่รถฝ่าสัญญาณไฟไปๆมาๆอยู่แล้ว คนที่ขี่มอเตอรไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อก ถ้าไม่ใส่ก็จะถูกปรับประมาณ 300 - 400 บาท แต่มันตลกตรงที่ว่า ถ้าใครสวมหมวกกันน็อกแล้วไม่คาดสายรัดที่ีคางจะถูกปรับแพงกว่า การไม่ใส่หมวกกันน็อก เพราะถือว่าจงใจประมาท เขาถือว่าผู้ที่ไม่ใส่หมวกกันน็อกบางคนอาจจะทำหายไม่มีเจตนาประมาท อันนี้ก็เป็นวิธีคิดอย่างหนึ่งของคนเวียตนาม สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ คนที่นี่แทบไม่มีคนอ้วนตุ๊ต๊ะเลย ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ต่างก็มีรูปร่างสมส่วน ถึงแม้บางคนจะมีอายุมากแต่ก็ยังหุ่นดี ไกด์บอกว่าเป็นเพราะคนที่นี่ทานพวกผักหรืออาหารที่แคเลอรี่ต่ำเยอะ ถ้ามีคนอ้วนตุ๊ต๊ะมาเยือนคนเวียตนามจะสนใจเป็นพิเศษ แบบว่าไปไหนก็ต้องมีคนมองและหัวเราะหรือขนาดมาขอจับเลยก็ว่าได้  เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้เห็นคนอ้วน ใครอยากหุ่นดีต้องลองไปอยู่เวียตนาม
แม่ค้าขายสับปะรดหุ่นดี
           วันแรกของการท่องเที่ยวผมได้มีโอกาสไปชม หุ่นกระบอกน้ำ ที่เขาว่าใครไปเวียตนามก็ต้องไปดู แต่ผมว่าไม่สนุกเท่าไหร่ ดูไปง่วงไป เพราะมันเป็นการขับร้องเพลงประกอบการเชิดหุ่นที่อยู่บนน้ำ ซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องมันเป็นภาษาเวียตนาม แต่เอาเป็นว่าได้คุยโม้ให้เพื่อนฟังได้ว่าครั้งหนึ่งได้เคยดู หุ่นกระบอกน้ำเวียตนาม พอหันไปข้างหลังปรากฏว่าไม่ใช่มีผมคนเดียวที่หลับ 555 พอตกเย็นไกด์ได้พาไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามาเวียตนามก็ต้องกินอาหารเวียตนาม กุ้งพันอ้อย เฝอ ( รูปร่างหน้าตาคล้ายๆขนมจีนบ้านเราแต่ไม่เผ็ด ) และก็อาหารจำพวกปลา และก็อะไรอีกจำไม่ได้ แต่จำได้คือทุกอย่างอร่อยใช้ได้ พอกินข้าวเสร็จก็กลับที่พัก คณะทัวร์ของผมพักที่
หุ่นกระบอกน้ำ
โรงแรมแห่งหนึ่ง จัดว่าเป็นโรงแรมระดับดีทีเดียว มีบ่อนคาสิโนเล็กๆอยู่ด้วย ห้องพักของมีสองเตียง ผมพักกับพี่อีกคนนึงแกมาจากชัยนาท อายุห่างกันนิดเดียว แต่แกเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว และนี่แหละคือคู่หูในทริปนี้ ระหว่างที่นอนอยู่จะได้ยินเสียงแตรรถจากถนนหน้าโรงแรมทั้งคืน พอตื่นเช้ามาวันนี้มีโปรแกรมไปเที่ยวสุสานของท่านประธานโฮจิมินห์และสถานที่ท่องเที่ยวจำพวกโบราณสถานในตัวเมืองฮานอย ผมจะขอเล่าแต่สถานที่ที่ผมสนใจนั่นก็คือ สุสานของท่านประธานโฮจิมินห์ การจะเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพราะต้องต่อแถวยาว และระหว่างที่ต่อแถวฝนก็ดันตกลงมา เปียกชุ่มกันไปถ้วนหน้า พอเข้าไปด้านในจะมีทหารยืนเฝ้าตลอดระยะทางของทางเข้าไปยังที่เก็บศพของท่านประธานโฮจิมินห์ ในที่นี้ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกวีดีโอเด็ดขาด ผมจึงไม่มีรูปจากด้านในมาให้ดูกัน บริเวณที่เก็บศพจะเป็นกระจกสี่เหลี่ยมครอบร่างของท่านประธานซึ่งนอนเหมือนท่านกำลังหลับอยู่ และมีทหารยืนถือปืนเฝ้าอยู่ทั้งสี่มุม และระหว่างการเยี่ยมชมห้ามคุยกันหรือส่งเสียงดัง ผู้ชายร่างเล็กที่มีหนวดเครายาวๆท่านนี้ มีความสำคัญกับชาวเวียตนามมาก เพราะเป็นคนที่กอบกู้ประเทศเวียตนามสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ถ้าถามคนไทยว่าบุคคลสูงสุดที่ท่านรักและเคารพมากที่สุดนอกจากบุคคลในครอบครัวเป็นใคร ทุกๆคนก็จะตอบว่า ในหลวงของเรา แต่ถ้าไปถามคนเวียตนาม คำตอบที่จะได้ก็คือ ท่านประธานโฮจิมินห์ นั่นเอง ต่อจากนั้นไกด์ได้พาไปโบราณสถานแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นเหมือนวัดจีนเก่าๆ เขาบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกมีอายุกว่า 1000 ปี เพราะสถานที่
บริเวณด้านนอกของสุสาน
แห่งนี้เป็นที่สอบเข้าเป็นจอหงวน (ข้าราชการจีนในสมัยก่อน) คนที่สอบได้จะต้องเก่งจริงๆ และจะได้รับการสลักชื่อบนแท่นหิน พอเสร็จจากที่นี่พวกเราได้ไปเที่ยววัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาปคืนดาบ ความจริงมันมีตำนานเล่าอยู่แต่ผมจำไม่ได้ จำได้แต่ว่ามันเกี่ยวกับเต่ายักษ์ เราต้องข้ามสะพานไป พอไปถึงมีคนจำนวนมากกำลังกราบไหว้บูชาบางอย่างอยู่ สิ่งนั้นก็คือซากเต่ายักษ์ที่ตายแล้ว ตัวใหญ่มาก ความกว้างประมาณ 1.50 เมตร ยาวประมาณ 2.50 เมตรได้ ถ้าเป็นบ้านเราคงจะมีคนเอาแป้งทาแล้วขูดๆเพื่อหาตัวเลข ผมก็ได้ไปไหว้และขอพรจากท่านเต่ายักษ์ ไม่รู้ว่าท่านจะรู้หรือเปล่าว่าผมขออะไร เพราะผมพูดภาษาเวียตนามไม่เป็น :) ต่อจากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อไปสถานที่ช็อปปิ้งของเมืองฮานอย ระหว่างที่นั่งบนรถก็นั่งดูผู้คนบนท้องถนนไป บางทีผมก็อดขำปนด้วยความหวาดเสียวไม่ได้ เพราะคนที่นี่ขี่จักรยานกันแบบไม่กลัวตายเลย ถ้าเป็นบ้านเราจักยานต้องชิดซ้ายเพื่อความปลอดภัย แต่ที่นี่ขี่มันกลางถนนเลย รถที่วิ่งเร็วกว่าก็แซงไปแซงมา ปาดไปปาดมา แต่เขาจะบีบแตรให้สัญญาณกันตลอด ถ้าเกิดอุบติเหตุขึ้นมา
ผมและผู้ใหญ่บ้านคู่หู
บนสะพานที่ข้ามไปดูเต่ายักษ์
ไกด์บอกว่าก็จะมีการโต้เถียงและชกต่อยกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้จะชกต่อยกันจนตาเขียว แต่เขาก็จะไม่เก็บเอามาเป็นความแค้น คือจบกันตรงนั้น ถ้าเจอกันอีกก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นบ้านเราก็คงยิงกันกลางถนน หรือเอาพวกตามไปแก้แค้น แต่ถ้าเกิดขับรถไปชนคนตายต้องรีบหนีออกไปอยู่ไกลๆก่อน เพราะญาติผู้ตายจะตามมาล้างแค้นถึงขั้นเอาชีวิต อันนี้น่ากลัวกว่าบ้านเรา เอาละถึงที่ช็อปปิ้งซักที ลักษณะของสถานที่คล้ายๆตลาดนัดจตุจักร คือมีร้านค้าเป็นล็อกๆ สินค้าที่นี่มีทุกอย่าง เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ของที่ระลึก เป็นต้น ผมเข้าไปดูรองเท้าที่ร้านหนึ่ง สินค้าร้านนี้เป็นสินค้าแบรนด์ดังๆทั้งนั้น เช่น ไนกี้ พูม่า รีบอก อะดิดาส แต่ราคานั้นถูกแสนถูก คู่หนึ่งประมาณ 300 - 500 บาท สาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีโรงงานของแบรนด์เหล่านี้ตั้งอยู่ในประเทศ หรือไม่ก็อาจจะเป็นของก็อบมาจากจีน แต่เท่าที่ดูการตัดเย็บ วัสดุที่นำมาผลิต ก็พอใช้ได้ การซื้อของที่นี่เราสามารถต่อได้แบบว่าแล้วแต่คารมเลย เช่น ของบางอย่างราคา 1000 บาท บางท่านอาจจะต่อเหลือ 500 บาท แต่บางท่านคุยกับคนขายอย่างถูกคอก็อาจจะเหลือแค่ 300 บาท หรือไม่ก็เดินออกจากร้าน เดี๋ยวเขาก็จะเรียกตามหลังเอง ว่าจะให้เท่าไหร่ :) ผมลืมบอกไป โดยส่วนใหญ่คนขายของที่นี่สามารถพูดไทยได้ดี อาจจะเป็นเพราะทัวร์ไทยมาลงบ่อยเลยพูดจนชิน เงินที่ใช้ก็ไม่ต้องไปแลกให้เสียเวลาใช้เงินไทยซื้อได้เลย ผมซื้อของฝากมาค่อนข้างเยอะเพราะมันถูกและได้หลายชิ้น เช่น หมวกแก็ปมีรูปดาวธงชาติเวียตนาม 5 ใบ 100 บาท ที่ใส่นามบัตรทำจากไม้แกะสลัก อันละ 20 บาท ซื้อเยอะก็เหลืออันละ 15 บาท เป็นต้น แต่ละท่านในคณะทัวร์ก็เลยหอบของฝากกันพะรุงพะรัง มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ในระหว่างที่ผมเดินช็อปปิ้ง จะมีพวกแม่ค้าหาบเร่หาบของกินมาขาย มีอยู่เจ้าหนึ่งเขาขายแห้วสด ทีนี้เขาจะปลอกเปลือกแล้วใส่ถุงคอยตื๊อให้ลูกค้าชิมเพื่อซื้อ ผมและพี่ผู้ใหญ่เลยจัดให้ จกมาชิมคนละลูกเสร็จแล้วเดินไปเลย แม่ค้าด่าเป็นภาษาเวียตนามตามหลัง ก็ผมไม่รู้นี่ว่าชิมแล้วต้องซื้อ นึกว่าชิมก่อนไม่ซื้อก็ไม่เปนไรเหมือนบ้านเรา :) ผมกับพี่ผู้ใหญ่มองหน้ากันแล้วต่างคนต่างหัวเราะ แกก็บอกว่า อ่าวก็นึกว่าเอ็งจะซื้อ ข้าก็เลยชิม ผมก็บอกว่า ผมก็นึกว่าพี่จะซื้อ...
        ผมขอจบเรื่องเล่าที่ฮานอยไว้เท่านี้ก่อน เพราะเล่าเท่าที่จำได้เอาไว้นึกอะไรออกจะมาเล่าให้ฟังอีก บทความต่อไปจะเป็นสถานที่ใดเอาไว้คอยติดตามกันนะครับ
แม่ค้าขายผัก วิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไป

1 ความคิดเห็น:

ติชมได้เลยครับยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น
สำหรับคนที่ไม่มี ID ของ Gmail หรือ บล็อกของค่ายอื่นๆ
เลือกโปรไฟล์... > (ไม่ระบุชื่อ) หรือ (ชื่อ/URL) ตรง URL ไม่ใส่ก็ได้